เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เผยรายได้ลดจากสถานการณ์โควิด-19 พร้อมเตรียมแผนรับมือครึ่งปีหลัง
สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี คาดการณ์ตัวเลขรายได้จากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะมีรายได้ลดลงกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเตรียมแผนรับมือการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี โดยเน้นการท่องเที่ยวในประเทศ เพิ่มการใช้ระบบสารสนเทศในการบริหารจัดการ สร้างความเข้มแข็งของโครงสร้างพื้นฐาน และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น พร้อมเตรียมผลักดันแนวคิดการสร้างสวนสนุกไดโนซอร์แพลนแนต โดยให้เอกชนที่สนใจเข้ามาดำเนินงาน
นายอนุชา ดำรงมณี กรรมการบริหาร ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคม 2563 ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้ปิดให้บริการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม ที่ผ่านมา จึงส่งผลให้ขาดรายได้จากการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะลดลงกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับในปี 2562 ซึ่งมีรายได้ จำนวน 252 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับรายได้ใน 2 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2563 (เดือนตุลาคม 2562 – มีนาคม 2563) เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีมีรายได้รวม 107 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 42.46 ของรายได้ทั้งหมดในปี 2562 โดยในเดือนมีนาคม 2563 ก่อนการปิดให้บริการชั่วคราว มีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงกว่าร้อยละ 90 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การดำเนินงานของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ในปี 2563 ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐ จึงใช้เงินทุนสะสมนอกงบประมาณภาครัฐมาใช้ในการบริหารจัดการ ซึ่งต้องมีการบริหารจัดการให้สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่มีประมาณปีละ 200 ล้านบาท ซึ่งได้ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นโดยการบริหารจัดการต้นทุนและจัดการรายได้อย่างเป็นระบบ เช่น การยกเลิกจัดซื้อหมึกพิมพ์ปริ้นเตอร์ เป็นการเช่าเครื่องพิมพ์และถ่ายเอกสารแทน ซึ่งลดค่าใช้จ่ายได้ปีละกว่า 1.8 ล้าน รวมทั้งการลดต้นทุนการให้บริการนักท่องเที่ยว แต่เพิ่มมาตรฐานการให้บริการมากขึ้น เป็นต้น
นอกจากนี้ได้เพิ่มการใช้ระบบสารสนเทศในการบริหารจัดการ ทั้งในด้านการจัดเก็บข้อมูล การรักษาความปลอดภัย การบริหารงาน การจำหน่ายบัตรเข้าชมเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี รวมทั้งด้านกิจกรรมการตลาดและการประชาสัมพันธ์ อีกทั้งการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีอย่างยั่งยืน ทั้งในระบบการบริหารจัดการน้ำ การลดใช้พลาสติกและการจัดการขยะ ความปลอดภัยของบุคลากรผู้ปฏิบัติงานและนักท่องเที่ยว ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการช่วยลดต้นทุนในการบริหารจัดการขององค์กรที่คงประสิทธิภาพของการทำงานให้ดีขึ้น โดยไม่มีนโยบายในการปรับลดบุคลากรในองค์กร ซึ่งเป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลอย่างไรก็ตาม เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้ขยายระยะเวลาปิดให้บริการชั่วคราวต่อเนื่อง ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่ยังคงปรากฏและระบาดรุนแรงในหลายประเทศ และเพื่อสงวนให้พื้นที่การให้บริการของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีหลังจากการเปิดให้บริการตามปกติในอนาคต ยังคงเป็นสถานที่ปลอดเชื้อ และปลอดภัยสำหรับสัตว์ นักท่องเที่ยว และผู้ปฏิบัติงาน
สำหรับการดำเนินงานด้านการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลัง จะเน้นกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวภายในประเทศ เตรียมผลักดันแนวคิด การสร้างสวนสนุกไดโนซอร์แพลนแนต ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินการ และสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คาดว่าหลังจากสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะมี Demand ของนักท่องเที่ยวจำนวนมากกลับเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศ แต่สิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างเข้มงวดต่อไปคือ การเตรียมแผนมาตรการความปลอดภัยในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิค 19 หลังจากการเปิดให้บริการ ซึ่งทางเขียงใหม่ไนท์ซาฟารีก็ได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน